[x] ปิดหน้าต่างนี้
ยินดีต้อนรับคุณ บุคคลทั่วไป   
ค้นหา   
เมนูหลัก
link banner
ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน

 

baner106ca8903583c4b6.jpeg


  

   เว็บบอร์ด >> ห้องนั่งเล่น >>
รู้ทัน ! โรคที่มากับหน้าหนาว พร้อมรับมือก่อนเข้าฤดูหนาว  VIEW : 286    
โดย มานี

UID : ไม่มีข้อมูล
โพสแล้ว : 2
ตอบแล้ว :
เพศ :
ระดับ : 1
Exp : 40%
เข้าระบบ :
ออฟไลน์ :
IP : 124.122.238.xxx

 
เมื่อ : ศุกร์ ที่ 30 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2565 เวลา 12:40:29   

เมื่อย่างเข้าฤดูหนาว หลายคนอาจคิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุข เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและเหมาะแก่การท่องเที่ยวมากที่สุด แต่อาจลืมไปว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป อุณหภูมิที่เย็นลงนั้น จะยิ่งทำให้เชื้อไวรัสอยู่รอดได้นาน และแพร่กระจายตัวได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เราเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าปกติ ดังนั้นเรามาทำความรู้จัก ‘โรคที่มากับหน้าหนาว’ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคต่างๆ ป้องกันการเจ็บป่วย และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงตั้งแต่เนิ่นๆ มาดูกันว่าโรคที่พบบ่อยในฤดูหนาวที่ทุกคนควรระวังนั้นมีอะไรบ้าง

ไข้หวัด
โรคที่มากับหน้าหนาวที่พบบ่อยที่สุดคือไข้หวัด เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวเราจะพบว่าเป็นหวัดได้ง่ายและบ่อยกว่าปกติ ไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเมื่อแบ่งเป็นกลุ่มไวรัสต้นเหตุแล้วมีมากกว่า 100 ชนิด จึงทำให้อาการหวัดของแต่ละคนต่างกันออกไป เช่น เชื้อไรโนไวรัส (Rhinovirus) ในผู้ใหญ่อาจทำให้เกิดหวัดธรรมดา มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล ไอ จาม แต่หากเชื้อเดียวกันนี้เกิดขึ้นในเด็กอาจทำให้เป็นปอดอักเสบ มีไข้ ไอหอบเหนื่อย และอาจอันตรายถึงแก่ชีวิต  
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคหวัด เนื่องจากมีเชื้อไวรัสหลายชนิด แต่เราสามารถป้องกันโรคหวัดได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่หากมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล คันคอ ไอ จาม มีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ และปวดเมื่อยตามตัว ควรนอนหลับพักผ่อนให้มาก ดื่มน้ำสะอาดเยอะๆ และรับประทานยาบรรเทาอาการหวัด อาการจะดีขึ้นได้ภายใน 1 สัปดาห์ 

ไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอย่างเฉียบพลัน เป็นโรคที่มากับหน้าหนาวที่พบมากรองจากไข้หวัด เกิดจากอินฟลูเอ็นซาไวรัสที่มีอยู่ 2 ชนิดคือ influenza A และ B ซึ่งจะมีการแพร่กระจายอย่างมากในช่วงหน้าหนาว อาการของไข้หวัดใหญ่จะคล้ายกับไข้หวัดธรรมดาแต่รุนแรงกว่า คือมีอาการไข้ขึ้นสูง หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและศีรษะอย่างรุนแรง อาจรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ต้องแยกไข้หวัดใหญ่ออกจากไข้หวัดธรรมดาให้ได้ เพราะไข้หวัดใหญ่มีอาการที่รุนแรงและยาวนานกว่า อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงชีวิตได้ เช่น ปอดบวม ปอดอักเสบ ฯลฯ นอกจากนี้คนที่เป็นโรคภูมิแพ้หรือหอบหืดอยู่เดิม อาจมีอาการแพ้หรือมีอาการหอบรุนแรงมากขึ้น 
โดยปกติโรคไข้หวัดใหญ่จะหายเองภายใน 1-2 สัปดาห์ และสามารถรักษาตามอาการได้ หากมีไข้ก็เช็ดตัวบ่อยๆ พักผ่อนมากๆ รับประทานยาลดไข้ ถ้าไอมากหรือมีน้ำมูกก็รับประทานยาแก้ไอและยาลดน้ำมูกตามอาการ เป็นต้น ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการหนัก เช่น หอบเหนื่อย ซึม สับสน ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง หากกินยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะอาการอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ปอดบวม
โรคปอดบวม เกิดจากภาวะปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส ทำให้มีหนองและสารน้ำในถุงลม จนเนื้อปอดบริเวณนั้นไม่สามารถรับออกซิเจนได้ตามปกติ ผู้ป่วยมักมีอาการไอ คัดจมูก จาม มีเสมหะมาก มีไข้สูงติดต่อกันเกิน 2 วัน หนาวสั่น แน่นหน้าอกจนหายใจไม่ออก และอาจทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด จึงถือได้ว่าเป็นโรคที่มากับหน้าหนาวที่อันตรายไม่แพ้โรคอื่นๆ ซึ่งมักพบหลังจากเป็นไข้หวัดเรื้อรัง หรือในผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
แม้จะเป็นโรคที่มีอาการรุนแรงและสามารถทำให้เสียชีวิตได้ แต่โรคปอดบวมนั้นไม่ได้เป็นกันง่ายๆ เพราะร่างกายสร้างระบบป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ปอดไว้อย่างสลับซับซ้อน เริ่มจากในจมูกมีขนเพื่อกรองเอาฝุ่นละออง รวมถึงเชื้อโรคไม่ให้เข้าไปในทางเดินหายใจ รอบ ๆ คอก็มีต่อมน้ำเหลืองที่รู้จักกันดีคือ ต่อมทอนซิล คอยดักเอาเชื้อโรคไม่ให้รุกล้ำเข้าไป นอกจากนี้ยังมีลิ้นปิด-เปิดกล่องเสียง ซึ่งหากมีสิ่งแปลกปลอมหลงเข้าไปในหลอดลมร่างกายก็จะมีปฏิกิริยาขย้อนเอาสิ่งแปลกปลอมออกมา เป็นต้น แต่หากมีอาการของโรคปอดบวมดังกล่าวข้างต้นแล้ว ควรรีบไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที 

หัด
โรคหัด เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อรูบีโอลาไวรัส (Rubeola virus) มักระบาดในช่วงปลายฤดูหนาวต่อกับฤดูร้อน และเกิดกับเด็กอายุระหว่าง 2-12 ปี อาการจะคล้ายไข้หวัดธรรมดาคือ น้ำมูกไหล ไอแห้ง ตาและจมูกแดง มีไข้สูง เมื่อมีไข้ติดต่อกัน 3 - 4 วัน จะมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ซึ่งจะค่อยๆ โตและมีสีเข้มขึ้น แล้วยังมีตุ่มใสๆ ขึ้นในปาก กระพุ้งแก้ม คลิปโป๊ และฟันกราม ซึ่งจะเกิดเฉพาะในโรคหัด หลังจากผื่นออกประมาณ 2 - 3 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้นและหายได้เอง 
แม้หัดจะไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่ติดต่อกันง่ายมากผ่านการไอ จาม หรือหายใจเอาละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วยที่ลอยอยู่ในอากาศเข้าไป จึงเป็นอีกหนึ่งโรคที่มากับหน้าหนาวที่ควรระวัง โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีสมาชิกตัวน้อยๆ เมื่อพบอาการดังกล่าวควรพาเด็กที่ป่วยไปพบแพทย์ และให้หยุดเรียนเพื่อพักผ่อนอยู่กับบ้าน รวมถึงรับการฉีดวัคซีนรวมหัด หัดเยอรมัน และคางทูม ตามช่วงอายุที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้เพื่อช่วยป้องกันโรค

อุจจาระร่วง
โรคอุจจาระร่วงเป็นอีกหนึ่งโรคที่มากับหน้าหนาวที่ควรระวัง ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสโรต้า (Rotavirus) ช่วงที่ระบาดมากที่สุดคือช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ ของทุกปี โดยเชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางปาก ผ่านไปยังกระเพาะอาหารแล้วแบ่งตัวที่ลำไส้ พบบ่อยในเด็กอายุ 6 - 12 เดือน เนื่องจากเป็นวัยที่มีภูมิต้านทานต่ำและมีพฤติกรรมหยิบสิ่งของเข้าปาก เชื้อจึงเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น อาการของโรคคือมีไข้ ท้องเสียอย่างรุนแรงและอาเจียนอย่างหนัก บางรายที่เสียน้ำมากอาจถึงขั้นช็อกหรือเสียชีวิต จึงควรให้ผู้ป่วยจิบเกลือแร่บ่อย ๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ หากอาการหนักต้องรีบไปพบแพทย์ โดยแพทย์จะให้ยาตามอาการ เช่น ให้ยาแก้อาเจียน ยาแก้ปวดท้อง ยาแก้ไข้ และน้ำเกลือแร่ หากผู้ป่วยดื่มน้ำไม่ได้อาจต้องให้เกลือแร่ผ่านน้ำเกลือ 
ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิธีการที่จะกำจัดการติดเชื้อได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้น จึงควรล้างมือให้สะอาดเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย